ข้ายืนอยู่ในห้องที่ออกมาเมื่อตอนสาย แต่ในตอนบ่าย ห้องที่เคยใช้ซุกหัวนอนกลับกลายเป็นที่เก็บซากเครื่องเรือน โซฟาถูกกรีดขาดเละเทะ โต๊ะถูกของแข็งฟาดหักกลาง ร่องรอยการต่อสู้กันในห้อง รอยกระสุนบนฝาผนัง คราบเลือดแดงเหมือนส่วนผสมระหว่างสตอเบอรี่ ซอสพิซซ่าและซอสมะเขือเทศซึ่งลากเป็นทางยาวไปยังหน้าประตู
...
“ลูกพี่ครับ ไม่กินอะไรจริงๆเหรอ~”
“เซ้าซี้อยู่ได้ ก็บอกว่าไม่เอาไง”
“แต่ว่าเครปร้านนี้น่ะอร่อยมากเลยนะครับ อีกอย่างลูกพี่ใช้ความคิดมากขนาดที่คิ้วจะขมวดเป็นปมได้อยู่แล้ว ถ้าขาดน้ำตาลไปมันจะ...”
“เซ้าซี้จริงๆ ถ้าอยากจะซื้อมาก็เอาอะไรที่มันแดงๆ ถ้าไม่แดงไม่ต้องซื้อมา”
“ซื้อมาให้แล้วคร้าบ~ แดงถูกใจแน่นอน”
“
อ่ำ...อืมมม รสชาติแปลกดี หอมๆเค็มๆหวานๆ”
“เครปสตอเบอรี่ ราดซอสพิซซ่ากับซอสมะเขือเทศรสชาติก็ต้องแปลกอยู่แล้วครับ...”
“มันเข้ากันได้ดีอย่างน่าทึ่ง”
“ผมว่าลิ้นของลูกพี่ต่างหากน่าทึ่ง”
...
ข้าพอจะเดาได้ว่า ตอนนี้ไอ้หมาน้อยคงนอนหนาวอยู่ที่ก้นแม่น้ำ หรือไม่ก็ถูกโบกทับด้วยปูนเป็นส่วนหนึ่งของตึก ...
แม้จะเป็นการโหดร้ายต่อเจ้าหมาน้อยแต่ข้าก็ไม่มีเวลามาห่วงสภาพศพของมันอีกต่อไป เพราะถ้าข้าประมาทหรือสะเพร่าแค่เพียงนิดเดียว ข้าคงมีจุดจบไม่ต่างจากมัน
ข้าค้นลิ้นชักของตัวเองเพื่อเอาหยิบมีดสปาตั้นออกมาพร้อมกับสลัดความอ่อนแอที่เกิดจากการสูญเสียสิ่งที่เคยมีอยู่ออกไป ทั้งที่ข้ารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า มันไม่มีทางออกไปจากห้วงความคิดของข้า ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้จุกอยู่ในลำคอ
ทั้งที่ท่านสั่งเสียไว้อย่างดิบดีแล้วแต่ข้ากลับทำมันไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดูแลไอ้หมาน้อย ดูแลลูกชายของท่าน แม้แต่ดูแลกลุ่มยังทำไม่ได้
“มันอยู่นี่เว้ยเฮ้ย!” พวกมันกรูกันและเข้ามาล้อมข้าไว้
ดี! ข้าจะได้ไว้อาลัยให้ไอ้หมาน้อยสะดวกๆ ข้าละเลงพื้นห้องด้วยมีดในมือ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นลงพื้นเหมือนน้ำมะเขือเทศที่กระฉอกจากการเปิดอย่างไม่ระวัง ไม่ว่ามันจะมีกันทั้งหมดกี่คนแต่ถ้ามันเข้ามาทีละคน คนมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
ข้าเชือดเส้นเลือดใหญ่ที่คอทีละคนอย่างรวดเร็วจนครบทั้งห้าคน เลือดของพวกมันพุ่งกระเซ็นเลอะตัวข้า พวกที่เหลือเห็นตัวข้าเปื้อนไปด้วยเลือดของพวกพ้องจึงทิ้งมีดและหนีไปโดยไม่หันกลับมา
ข้ายืนอยู่ท่ามกลางของเหลวสีเข้มและคิดถึงวันเวลาเก่าๆ วันเวลาที่ข้าเคยมี...สิ่งที่ข้าเคยมี...ข้าได้สูญเสียมันไปจนหมดแล้ว
แล้วข้าในตอนนี้จะทำอะไรได้บ้าง แล้วข้าในตอนนี้ควรจะได้รับอะไรบ้าง...
คำตอบนั่นข้ารู้อยู่แล้วเพียงแค่ข้าไม่กล้าพอที่จะยอมรับมันก็เท่านั้น ข้าต้องการที่จะขึ้นไปยังจุดสูงสุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดอีกแต่ตอนนี้ข้ายังคงมองไม่เห็นหนทางที่จะไปให้ถึงจุดนั้น...
เมื่อเลือดบนเสื้อของข้าเริ่มแห้งกรัง ข้าได้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของตึก แล้วเคลื่อนไปอย่างช้าๆจากเงาตึกหนึ่งไปยังอีกเงาตึกหนึ่งจนไปถึง บาร์เสียงคำราม
ข้ากระแทกประตูเข้าไปโดยไม่เรียกมาสเตอร์ที่เป็นชายสูงวัย ข้าย่ำบันไดและเข้าไปนอนในห้องที่ใกล้ที่สุด ข้าไม่คิดเลยว่าตัวเองจะอับจนหนทางขนาดที่ต้องหนีผู้คนไม่ต่างจากหนูโสโครกในท่อน้ำ
แม้จะนอนพักแต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดของไอ้หมาน้อยที่ว่า
“มันก็ต้องมีกันบ้างแหละครับ ช่วงที่คนเราอยากจะหนี!”
แล้วตอนนี้ข้าหนีอะไรอยู่...
หนีจากความจริงที่ว่าตัวเองมันไม่มีพลังพอที่จะทำอะไรได้เลยสักอย่าง
หนีจากความสิ้นหวังที่ก่อตัวขึ้นจากก้นบึ้งของความจำ
หนีจากอดีตที่ตามหลอกหลอน
“เจ้าน่ะ ไม่เบื่อหรือ ที่ต้องใช้กำลังแย่งชิงอาหารจากคนอื่นเหมือนหมาบ้าแบบนี้?”
“ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!”
“ฝากดูแลเจ้าหมาน้อยด้วยล่ะ...”
“ผะ..ผมชื่อ เฟียร์ซ ฝากตัวด้วยครับ”
“เงิน เงินอยู่ไหน!แกเอาเงินไปซ่อนไว้ไหน!”
“ถ้าเกิดข้าเป็นอะไรไป ข้าขอฝากดูแลลูกชายไม่เอาไหนของข้าด้วยล่ะ...”
“พ่อของแกมันไม่มีค่าพอจะตายคาบ่อนหรอกว่ะ”
“แกน่ะไปตายซะได้ก็ดี ตามข้าอยู่ได้ น่ารำคาญชิบ”
“เห...ถ้าผมเป็นอะไรไปอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกันนะครับ”
ข้าได้ยินเสียงของพวกเขาดังก้องอยู่ในหัวอยู่ตลอด
ข้าเริ่มเดินสะเปะปะออกจากเงาที่ทอดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด และในที่สุดข้าก็เห็นสิ่งที่ไอ้หมาน้อยเคยเล่าให้ฟังหลายต่อหลายรอบว่าเป็นตำนานของเมืองนี้
“ลูกพี่อยู่เมืองนี้มานานเคยได้ยินตำนานของเมืองนี้บ้างรึเปล่าครับ”
“ตำนานอะไรวะ?”
“ตำนานที่ว่า ตอนเที่ยงคืนในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ถ้าเดินไปที่ เส้นกั้นแบ่ง ณ ใจกลางเมือง จะได้พบกับบุรุษลึกลับที่สามารถทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้...”
“ไร้สาระ ...ความปรารถนาของตัวเองเที่ยวไปขอจากคนอื่นได้ยังไงกัน”
“แต่ถ้ามีจริงก็คงดีนะครับ”
“มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อเรื่องแบบนั้น”
ใช่! มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ และตอนนี้ข้าเองก็สิ้นหวังพอที่จะรับความโง่เข้าไปเพิ่ม
ข้าพาร่างกายที่เหมือนกับไม่ได้พักผ่อนออกมาจากบาร์ในตอน5ทุ่มกว่า ข้าเดินออกมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างนี้มีเพียงสถานที่เดียวที่ข้าจะไปนั่นคือ ...
เขตกั้นแบ่งแห่งเมืองMegalopolis
ท่ามกลางค่ำคืนที่เหน็บหนาวกว่าคืนอื่นๆ ข้ากอดเสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าที่ถูกทิ้งไว้ใต้บาร์ชงเหล้า มองนาฬิกาที่บอกเวลา5ทุ่ม59นาที ข้าหลับตาลงเมื่อนับถอยหลัง
10...9...8...7...6...5...4....3....2...1
ตุบ!เสียงพื้นรองเท้ากระแทกกับพื้น แม้จะห่างออกไปเกือบ5เมตร แต่ข้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่
“แกสินะ ...ที่เป็นตำนานของเมืองนี้” ข้าเดินลงส้นทีละก้าว ทีละก้าว เข้าไปใกล้จนเห็นการแต่งกายแปลกประหลาดของมันได้ชัดเจน
“
”ทั้งผ้าพันคอและโอเวอร์โค้ทที่มันสวมทำให้ข้ารู้สึกร้อน สีโทนดำเกือบทั้งชุดทำให้มันกลมกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบ เมื่อเดินไปถึงตัว ข้าใช้มือขวาคว้าปกคอเสื้อที่สูงปิดคาง ใช้มือซ้ายควักปืนออกจากแจ็คเก็ตแล้วจ่อไปที่หน้าผากของมัน
“...ทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงสิ ถ้าไม่อย่างนั้นแกจะได้เป็นวิญญาณแทนที่จะเป็นตำนานต่อไป...” ข้าพ่นลมหายใจรดใส่หน้ามัน แต่มันกลับตอบด้วยเสียงเรียบๆว่า
“เจ้าคิดว่า จะได้สิ่งที่ต้องการ เพียงแค่ใช้อาวุธข่มขู่งั้นหรือ?...ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น ข้าจะทำพันธะสัญญากับเจ้า โดยที่ เจ้าจะได้ไปถึงจุดสูงสุดตามที่เจ้าปรารถนา เพียงแต่ต้องแลกกับการที่เจ้าต้องไม่ใช่อาวุธใดๆอีก ไม่อย่างนั้น...”
“แกไม่มีสิทธิ์มาตั้งเงื่อนไขกับข้า” ก่อนที่ข้าจะเหนี่ยวไก มันก็ชิงตบข้อมือและคว้าS&W Model 686ของข้าไป
“อาวุธพวกนี้มันเป็นสิ่งนอกกาย อาวุธในกายต่างหากที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด” มันเอาปากกระบอกจ่อขมับและเหนี่ยวไกด้วยมือตัวเองโดยไม่กระพริบตา
กริ้ก...ลูกโม่ของข้าด้านงั้นหรือ?
“ว่าแต่...เจ้าน่ะกล้าพอที่จะทำพันธะสัญญากับข้าหรือเปล่า?” มันพูดข้างหูข้าด้วยเสียงเย็นชา “หรือความกล้าของเจ้ามันอยู่กับอาวุธนอกกายหมดแล้ว?”
ข้ารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า การที่มันพูดแบบนี้ไม่ต่างจากตบหน้าข้าด้วยกบผิวลื่น ข้าจึงตกปากรับคำไปทันที
“ได้! ข้าทำพันธะสัญญากับแกก็ได้ แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่แกพูด แกคงรู้นะว่าจะโดนอะไรบ้าง!”
“เก็บตัวในที่สงบเงียบหนึ่งสัปดาห์ ตามหาคนที่อยู่ในสภาพขาดที่พึ่งพิงเช่นเดียวกับเจ้า แล้วอีกหนึ่งเดือนเจ้าจะได้อยู่บนจุดสูงสุดตามที่เจ้าปรารถนา ช่วงเวลาเสพสุขของเจ้าจะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ้ารักษาสัญญาระหว่างเราได้นานเพียงใด
”
ดวงตาสีฟ้าและดำจ้องมองข้าโดยไม่กระพริบราวกับจะกลืนข้าลงไปทั้งตัว
“จงอย่าลืมพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับข้า”
จู่ๆเงาได้บดบังการมองเห็นของข้า และเมื่อเงานั้นจางลง บุรุษที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนานของเมืองได้หายไปราวเป็นส่วนหนึ่งของความมืดรอบข้าง
ข้าหยิบปืนที่วางบนพื้นเย็นๆจ่อขมับตัวเองสักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจลั่นไกขึ้นฟ้า...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น